กระทรวงสาธารณสุขเผยผลวิจัยวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้าประสบความสำเร็จเกินมาตรฐาน WHO ประสิทธิผลเฉลี่ยสูงถึง 70% วัคซีนมีความปลอดภัย ไม่พบอาสาสมัครกลุ่มที่ได้รับวัคซีนที่ต้องรักษาในโรงพยาบาล/มีอาการรุนแรง ชูจุดเด่นกำลังการผลิตสูงและจัดเก็บง่าย ขนส่งสะดวก ตั้งเป้าพร้อมใช้กลางปีหน้า

Home   >   ข่าวสาร   >   บทความและจดหมายข่าว   >   กระทรวงสาธารณสุขเผยผลวิจัยวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้าประสบความสำเร็จเกินมาตรฐาน WHO ประสิทธิผลเฉลี่ยสูงถึง 70% วัคซีนมีความปลอดภัย ไม่พบอาสาสมัครกลุ่มที่ได้รับวัคซีนที่ต้องรักษาในโรงพยาบาล/มีอาการรุนแรง ชูจุดเด่นกำลังการผลิตสูงและจัดเก็บง่าย ขนส่งสะดวก ตั้งเป้าพร้อมใช้กลางปีหน้า

👁️ เข้าชม 0

📌กระทรวงสาธารณสุขเผยผลวิจัยวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้าประสบความสำเร็จเกินมาตรฐาน WHO ประสิทธิผลเฉลี่ยสูงถึง 70%
วัคซีนมีความปลอดภัย ไม่พบอาสาสมัครกลุ่มที่ได้รับวัคซีนที่ต้องรักษาในโรงพยาบาล/มีอาการรุนแรง
ชูจุดเด่นกำลังการผลิตสูงและจัดเก็บง่าย ขนส่งสะดวก ตั้งเป้าพร้อมใช้กลางปีหน้า

กรุงเทพมหานคร (24 พฤศจิกายน 2563) กระทรวงสาธารณสุขเผยคนไทยมีข่าวดีและจัดเป็นข่าวดีในระดับโลก โดยวัคซีนวิจัยป้องกันโควิด 19 จากแอสตร้าเซนเนก้า บริษัทผู้ผลิตชีวภัณฑ์ชั้นนำสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน ที่รัฐบาลไทยตกลงร่วมมือในการพัฒนาและเตรียมจัดซื้อวัคซีน ประสบผลสำเร็จเกินมาตรฐาน WHO และได้ประสิทธิผลสูงสุดถึง 90% สำหรับการให้วัคซีนบางสูตร เตรียมเดินหน้าขออนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง คาดคนไทยได้ใช้กลางปีหน้า

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ผลทดลองในเบื้องต้นพบว่าวัคซีนวิจัย AZD1222 ที่มหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ดพัฒนาร่วมกับแอสตร้าเซนเนก้า ประสบผลสำเร็จเกินมาตรฐานที่ WHO กำหนด โดยการให้วัคซีนแบบแรก คือ ฉีดครึ่งโดสแล้วฉีดตามด้วยอีก 1 โดสหลังจากฉีดครั้งแรก 1 เดือน พบว่าประสิทธิผลในการป้องกันโรคโควิด 19 สูงถึง 90% และการให้วัคซีนแบบที่สอง คือ การฉีดวัคซีน 1 โดสแล้วฉีดตามอีก 1 โดสหลังจากฉีดครั้งแรก 1 เดือน พบว่ามีประสิทธิผลในการป้องกันโรคโควิด 19 ที่ 62% จากการให้วัคซีนทั้ง 2 แบบค่าเฉลี่ยของประสิทธิผลโดยรวมอยู่ที่ 70.4% ทั้งนี้องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดมาตรฐานการรับรองวัคซีนป้องกันโควิด 19 ต้องมีประสิทธิผลไม่ต่ำกว่า 50% นอกจากนี้ วัคซีนยังมีความปลอดภัยสูง พบว่าอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีน AZD1222 ไม่มีผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีอาการรุนแรงหรือต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล และมีความปลอดภัยในกลุ่มผู้สูงอายุ ในขั้นตอนถัดไป แอสตร้าเซนเนก้าจะนำเสนอผลการทดลองเบื้องต้นที่สมบูรณ์ (full interim) เพื่อการพิจารณาของหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องต่อไป

“วัคซีนวิจัย AZD1222 มีความพร้อมในเรื่องการเตรียมกำลังการผลิตที่มีฐานการผลิตทั่วโลกและมุ่งหวังที่จะเพิ่มกำลังการผลิตให้เพียงพอแก่ประเทศต่างๆ จัดเป็นความหวังของชาวโลก นอกจากนี้ วัคซีนสามารถจัดเก็บได้ที่อุณหภูมิ 2 ถึง 8 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นมาตรฐานการจัดเก็บและขนส่งวัคซีนในระบบปกติของประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ทำให้วัคซีนชนิดนี้เหมาะสมที่จะนำมาใช้ได้ในสถานการณ์จริง ทั้งนี้ คนไทยมีโอกาสเข้าถึงวัคซีนชนิดนี้มากกว่าประเทศอื่น เนื่องจากมีความร่วมมือผลิตวัคซีนในประเทศไทยและเป็นโอกาสในการสร้างขีดความสามารถของประเทศเพื่อความมั่นคงในระยะยาว” นพ.โอภาส กล่าว

ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย โดยกระทรวงสาธารณสุข สยามไบโอไซเอนซ์ เอสซีจี กับแอสตร้าเซนเนก้าและมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด ในการผลิตวัคซีน AZD1222 จำนวนมากโดยไม่หวังผลกำไร เพื่อให้ประเทศไทยและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเท่าเทียมและทันเวลา นับเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือที่รัฐบาลประเทศต่าง ๆ องค์กรด้านสาธารณสุขชั้นนำของโลก อาทิ องค์การอนามัยโลก กลุ่มพันธมิตรความร่วมมือด้านนวัตกรรมเพื่อรับมือโรคระบาด (CEPI) องค์กรพันธมิตรเพื่อวัคซีน (GAVI) และผู้ผลิตวัคซีนทั่วโลก ผนึกกำลังเพื่อช่วยกันกระจายวัคซีนให้ทั่วถึงและเท่าเทียมโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวเสริมว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอให้จัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับประชาชนไทยโดยการจองล่วงหน้ากับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2563 ที่ผ่านมา โดยมอบให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติจัดทำสัญญาการจัดหาวัคซีนโดยการจองล่วงหน้า และมอบให้กรมควบคุมโรคเป็นผู้ดำเนินการจัดทำสัญญาซื้อวัคซีนจากการจองดังกล่าวโดยให้มีผลผูกพันเมื่อได้รับงบประมาณแล้ว โดยครั้งนี้จะเป็นการจัดหาวัคซีนจำนวน 26 ล้านโดส ครอบคลุมประชากรกลุ่มเป้าหมาย 13 ล้านคน ภายในปี พ.ศ. 2564 ซึ่งการเข้าถึงวัคซีนได้อย่างรวดเร็วนี้จะทำให้ลดอัตราการป่วย การเสียชีวิต และค่าใช้จ่ายภาครัฐในการดูแลผู้ป่วยจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและสังคมให้กลับสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว ลดการสูญเสียเชิงเศรษฐกิจได้เป็นมูลค่ากว่าสี่แสนล้านบาท

ทั้งนี้ การลงนามในสัญญาการจัดหาวัคซีนโดยการจองล่วงหน้าและสัญญาซื้อวัคซีนจากการจองดังกล่าว จะเกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 27 พ.ย. 2563 เวลา 14.00 น. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี

ขอบคุณภาพจาก: สำนักสารนิเทศ สป.
เรียบเรียงข้อมูล: NVI Public Affairs Team
วันที่: 24/11/63