12 March 2020

ทำความรู้จักวัคซีนโรคงูสวัด

โรคงูสวัด ไม่เพียงเป็นโรคสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังเป็นอันตรายที่ควรเฝ้าระวัง มักพบในกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไป

โรคงูสวัดเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกับเชื้อไวรัสโรคสุกใสที่มีชื่อว่า วาริเซลลา ไวรัส (Varicella virus) เมื่อหายจากโรคสุกใสแล้ว เชื้อไวรัสชนิดนี้จะซ่อนอยู่ตามปมประสาทต่างๆ เมื่อร่างกายอ่อนแอ ภูมิต้านทานไม่แข็งแรงเชื้อไวรัสก็จะกำเริบขึ้นมาได้อีก

ลักษณะของโรคงูสวัดแตกต่างจากโรคสุกใส ตรงที่จะเป็นตุ่มหรือผื่นขึ้นเป็นแถบตามแนวเส้นประสาทไม่กระจายตัว โดยจะเกิดเป็นตุ่มแดงก่อน แล้วกลายเป็นตุ่มนูน ตุ่มใส จนแตกและตกสะเก็ด มักเกิดขึ้นบริเวณตามลำตัว เอว หลัง รวมถึงใบหน้าและดวงตา และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น อาการปวดแสบร้อนตามผิวหนัง การเป็นงูสวัดตามใบหน้าอาจเกิดบาดแผลที่กระจกตา ตาอักเสบ เป็นต้น

ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันงูสวัดแล้ว เป็นวัคซีนเชื้อเป็นที่ทำให้อ่อนฤทธิ์ลง แนะนำให้ฉีดในผู้ที่มีอายุมากกว่า60 ปีขึ้นไป เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ จึงห้ามฉีดในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง เช่น กำลังได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ติดเชื้อเอชไอวี ที่มีค่า CD 4 ต่ำมาก

ผลข้างเคียงจากการได้รับวัคซีนมักพบบริเวณที่ฉีด เช่น คัน แดง อาจมีไข้ต่ำ ๆ มักหายภายใน 2-3 วัน

ดังนั้นทุกคนที่เคยเป็นโรคสุกใสมาแล้ว มีโอกาสเป็นบุคคลที่มีความเสี่ยงเป็นโรคงูสวัดได้อีก แต่ความเสี่ยงจะเพิ่มสูงขึ้นในวัยผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ สามารถไปรับวัคซีนได้ที่สถานพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศ แต่อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

เพราะการป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา การดูแลสุขภาพ และไปรับวัคซีนป้องกันโรค เป็นวิธีป้องกันที่คุ้มค่า และน่าลงทุนมากที่สุด

เครดิตภาพ : okmuslim