Home > ข่าวสาร > ข่าวประชาสัมพันธ์ > คกก.วัคซีนแห่งชาติ เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานจัดซื้อจัดหาวัคซีนโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตั้งเป้าคนไทยเข้าถึงวัคซีนพื้นฐาน และวัคซีนที่จำเป็นเพิ่มเติมจากแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค พร้อม Update ความก้าวหน้าการวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ในประเทศไทย ขณะนี้เตรียมขึ้นทะเบียนแล้ว 1 ชนิด
👁️ เข้าชม 17
คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานจัดซื้อจัดหาวัคซีนโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมอบหมายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความสนใจและความพร้อมด้านงบประมาณด้านการบริหารจัดการ สามารถดำเนินการจัดซื้อจัดหาวัคซีนมาให้บริการประชาชนในพื้นที่ และขยายการดำเนินงานไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ โดยสถาบันวัคซีนแห่งชาติ และกรมควบคุมโรค เป็นหน่วยงานสนับสนุนด้านวิชาการ
วันที่ 31 สิงหาคม 2566 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรคและนายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ร่วมประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2566 โดยมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมทั้งในที่ประชุมและรูปแบบออนไลน์
นายอนุทิน กล่าวว่า ยินดีต้อนรับคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติชุดใหม่ ที่เข้ามาร่วมกันขับเคลื่อนงานด้านวัคซีนของประเทศ ตลอดการดำเนินงานที่ผ่านมาในช่วงสถานการณ์โควิด 19 เราได้เห็นความทุ่มเทของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติที่ทำให้เราผ่านพ้นวิกฤตการณ์ความรุนแรงไปได้ และนอกจากนี้เรายังมีเครือข่ายการวิจัยพัฒนาวัคซีนในประเทศที่เข้มแข็ง รวมทั้งมีโรงงานผลิตวัคซีนเกิดขึ้นในประเทศ ซึ่งสามารถลดความตื่นตระหนก และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่าเราจะมีวัคซีนเพียงพอแม้ในสถานการณ์ที่มีโรคอุบัติใหม่ รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นจากทั้งในและต่างประเทศในด้านการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ รวมทั้งระบบสาธารณสุขด้วย
โดยนายแพทย์นคร ได้กล่าวรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเข้ามามีส่วนร่วมจัดซื้อจัดหาวัคซีน เป็นส่วนเสริมในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศ ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบ คู่มือการจัดซื้อจัดหาวัคซีนและแนวทางการดำเนินงาน สำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยใช้วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลเป็นวัคซีนนำร่อง และดำเนินการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสาระสำคัญสอดคล้องกับนโยบายการสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดซื้อจัดหาวัคซีน คือ การกำหนดหลักการเบื้องต้นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถดำเนินการจัดซื้อจัดหาวัคซีนพื้นฐานหรือที่จำเป็นมาเสริมเพื่อให้บริการประชาชนในพื้นที่ เป็นการเพิ่มโอกาสของประชาชนในการเข้าถึงวัคซีน โดยให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และให้มีการสนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ฯลฯ โดยมีแนวทางในการดำเนินงาน คือ กำหนดเป้าหมายให้บริการ จัดซื้อจัดหา กระจายวัคซีน ให้บริการวัคซีน และรายงานผล ตามที่ได้รับมอบหมายจากการประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2565 เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา และมอบหมายให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ และกรมควบคุมโรค ประสานการทำงานกับองค์กรต่างๆ ต่อไป
จากนั้น นพ.นคร ได้นำเสนอความก้าวหน้าการวิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด 19 ในประเทศไทย ว่า ปัจจุบัน
มีวัคซีนโควิด 19 จำนวน 1 ชนิด คือ วัคซีน HXP-GPOVAC โดยองค์การเภสัชกรรม อยู่ระหว่างวิเคราะห์ผลทางสถิติในระยะที่ 3 สำหรับการฉีดเป็นเข็มกระตุ้น และจะส่งข้อมูลทั้งหมดเพื่อขึ้นทะเบียนกับสำนักงานอาหารและยา ภายในเดือนกันยายนนี้ ขณะที่มีวัคซีน จำนวน 2 ชนิด ได้ทำการทดสอบในมนุษย์แล้ว ได้แก่ 1.วัคซีน ChulaCov19 ชนิด mRNA โดยศูนย์วิจัยวัคซีนแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันกำลังรับอาสสมัครเพื่อทดสอบเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นในระยะที่ 1 วัคซีนในประเทศมีคุณภาพดีและเหมาะกับการศึกษาในมนุษย์ 2.วัคซีน Baiya SARS-CoV-2 Vax โดยบริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด และอยู่ระหว่างการเตรียมอาสาสมัครเพื่อศึกษาในระยะที่ 2 สำหรับการฉีดวัคซีนเป็นเข็มกระตุ้น
และได้นำเสนอผลการดำเนินงานเครือข่ายความร่วมมือเพื่อความมั่นคงและการพึ่งพาตนเองด้านวัคซีนแห่งอาเซียน ระหว่างปี 2565-2566 ว่า สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ในฐานะผู้รับผิดชอบงานหลักด้านวัคซีนแห่งภูมิภาคอาเซียน ได้ประสานความร่วมมือกับเครือข่ายวัคซีนของอาเซียนและนานาชาติอย่างต่อเนื่อง ตามแผนยุทธศาสตร์ ว่าด้วยการสร้างความมั่นคงและการพึ่งพาตนเองด้านวัคซีนของอาเซียน (AVSSR Strategic and Action Plan) 2564 – 2568 ซึ่งได้มีการจัดการประชุมเครือข่ายด้านวัคซีนอาเซียนจำนวน 2 ครั้ง โดยการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้เห็นชอบให้สถาบัน ร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซียน และสำนักงานเลขาธิการอาเซียน โดยการสนับสนุนจากหน่วยงานเครือข่ายวัคซีน ผลักดันให้แผนการดำเนินงานทั้ง 4 ด้าน ประกอบด้วย 1) การพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านวัคซีนในอาเซียน 2) การจัดให้มีช่องทางแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านวัคซีนระหว่างอาเซียนในรูปแบบ Dashboard 3) การจัดทำโครงการสำรวจข้อมูลพื้นฐานด้านวัคซีนอาเซียน และ 4) การจัดทำกรอบแนวคิดคณะกรรมการขับเคลื่อนงานด้านวัคซีนของอาเซียน ดำเนินการไปได้อย่างต่อเนื่อง และสัมฤทธิ์ผลภายในปี 2568
ขณะที่ นายแพทย์โสภณ ได้รายงานการให้บริการวัคซีนโปลิโอ สูตร 2 IPV + 3 OPV ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดให้มีการนำร่องการให้วัคซีนโปลิโอสูตรดังกล่าว เป็นการให้วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดฉีด (IPV) จำนวน 2 ครั้ง ในเด็กอายุ 2 เดือน และ 4 เดือน และให้วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน (OPV) จำนวน 3 ครั้ง ในเด็กอายุ 6 เดือน 1 ปี 6 เดือน และ 4 ปี โดยเริ่มให้ทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นมานั้น กระทรวงสาธารณสุขได้จัดการประชุมมอบนโยบายและชี้แจงโครงการความร่วมมือขับเคลื่อนการกวาดล้างโรคโปลิโอตามพันธสัญญานานาชาติด้วยการนำร่องให้กับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2566 และต่อมาในวันที่ 26 กรกฎาคม 2566 กรมควบคุมโรคได้จัดการประชุมชี้แจงข้อสงสัย เพื่อให้คำแนะนำเพิ่มเติมในการนำร่องและเสริมข้อมูลเชิงวิชาการให้กับผู้รับผิดชอบงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค โดยได้รับความร่วมมือจากราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ร่วมให้ข้อมูลเชิงวิชาการและชี้แจงข้อสงสัยการนำร่องให้วัคซีนโปลิโอให้กับหน่วยบริการทั่วประเทศ
นายแพทย์โสภณ ยังได้นำเสนอความก้าวหน้าการให้บริการวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (HPV) เพิ่มเติมว่า สืบเนื่องจาก ปี 2562 – 2564 นานาประเทศทั่วโลกประสบปัญหาวัคซีน HPV ขาดคราว ส่งผลให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ไม่สามารถจัดหาวัคซีน HPV ได้ โดยคาดประมาณว่ามีเด็ก 1.2 ล้านคน ไม่ได้รับวัคซีน HPV ตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ทำให้เสียสิทธิที่พึงได้รับจากรัฐ และมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกในอนาคต ซึ่งคำแนะนำทางวิชาการตามมติคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 มีมติเห็นชอบให้คงหลักการให้วัคซีน HPV ในเด็กนักเรียนหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หรือ อายุ 11 – 12 ปี ตามสิทธิประโยชน์ที่ต้องได้รับ (2 เข็ม) นอกจากนี้มอบหมายให้ สปสช. จัดสรรวัคซีน HPV เข็มที่ 1 สำหรับเก็บตกเด็กหญิงไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบถ้วน โดย สปสช. คาดว่าจะจัดส่งวัคซีน HPV เข็มที่ 1 แล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม 2566 ทั้งนี้ สปสช. อยู่ระหว่างการจัดหาวัคซีน HPV เข็มที่ 2 เพิ่มเติมให้ครบถ้วนทุกคนตามสิทธิประโยชน์ที่ควรได้รับ
ที่มา: สถาบันวัคซีนแห่งชาติ
ขอบคุณภาพ: สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
วันที่: 31/08/66